เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ ต.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เห็นคนน้ำท่วมนะ เวลาความเป็นอยู่นี่ขาดแคลนอาหารทุกข์แค่ไหน? แต่คนไม่ได้คิดถึงเวลาขับถ่ายนะ เวลาขับถ่ายมันจะทุกข์แค่ไหน? เวลาน้ำมันท่วมมา เห็นไหม มันทุกข์ยากไปหมดเลย แต่! แต่ถ้าคนมันเสมอภาคกัน มันทุกข์ด้วยกัน มันก็กัดฟันทนนะ แต่ถ้าที่อื่นมันไม่ท่วม ท่วมเฉพาะเรา แล้วมันมองเห็นๆ มันสะเทือนใจไหม? มันสะเทือนใจนะ แต่ความสะเทือนใจนั้น แล้วเวลาความไม่เชื่อถือมันก็เกิดขึ้น

“กลิ่นของศีลหอมทวนลม”

กลิ่นของศีล กลิ่นของธรรม ถ้าความเสมอภาค ความเป็นจริงมันทวนลมไป คือมันพิสูจน์ได้ ถ้ามันพิสูจน์ได้นี่เขายอมรับได้ แต่ถ้ามันไม่เสมอล่ะ? มันไม่เสมอ เห็นไหม คนที่เห็นนี่มันแตกต่าง พอความแตกต่างอันนั้นมันรับไม่ได้ พอรับไม่ได้ ดูสิอำนาจรัฐปกครองได้ไหม? เขาทำกันเอง ประชาชนเป็นใหญ่นะ เขาจะรื้อเขื่อนไหน รื้ออะไรเขาทำของเขาเลย แล้วทำได้อย่างไรล่ะ?

เพราะ! เพราะเราทำตัวเองไง เพราะว่าอำนาจรัฐไม่เป็นธรรม ถ้าอำนาจเป็นธรรม ทำให้เป็นธรรมเขาจะทำอย่างนั้นไหม? ถ้าอำนาจรัฐไม่เป็นธรรม ดูสินี่ความเสมอภาค ถ้าความเสมอภาคนี่เรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องความเป็นธรรม แล้วความเป็นธรรมอย่างไรล่ะ? แต่เดิมที่ลุ่มภาคกลางมันเป็นที่ลุ่ม เราต้องการอาหารการกิน เราต้องการความมั่นคงในชีวิต

แต่เดิมคนอยู่ถ้ำ อยู่ป่า อยู่เขา พอคนเริ่มมีพื้นที่เขาก็เริ่มมีการทำกสิกรรมกัน เวลาทำขึ้นมาเราเลือกพื้นที่อย่างนั้น พอเลือกพื้นที่อย่างนั้นก็ปลูกเรือนสูง แต่เดิมโบราณนะ เวลาน้ำมา น้ำผ่านลอดใต้ถุนเขาไป เห็นไหม เพราะว่ามันเป็นอย่างนี้ เป็นฤดูกาล แต่ด้วยความเจริญ ด้วยความเราคิดไง คนรุ่นใหม่อยากจะวางผังเมือง เสร็จแล้วเราก็ไปสร้างสิ่งปลูกสร้างกีดขวางมันเอง แล้วบอกว่านี่เป็นความเจริญ นี่เป็นความเจริญ แล้วเวลามันท่วมท้นมาอย่างนี้ นี่ทุกข์ยากกันมากเลย ทุกข์ยากกันเพราะเหตุใดล่ะ? ทุกข์ยากนี่ แล้วคนโบราณเขาอยู่กันอย่างไรล่ะ? คนโบราณเขาอยู่กันอย่างไร? เขาอยู่ของเขานะ เขาอยู่ของเขาได้ แต่นี้มันเป็นกาลเป็นเวลา เห็นไหม กาลเทศะ

สมัยปัจจุบันนี้เป็นอย่างนี้แล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็ต้องเป็นอย่างนี้ ก็ต้องแก้กันไปแบบนี้ แต่พูดถึงความโง่เขลาไง ดูความโง่เขลาของคนสิ คนไปฝืนมันเอง ไปกีดขวางมันเอง แล้วจะไปบังคับอีก ไปบังคับนะ สุดท้ายแล้วคนก็ทุกข์ไง

นี่ย้อนกลับมาที่เรา ถ้าย้อนกลับมาที่เรา เห็นไหม ถ้าเราจะทำคุณงามความดีของเรา เรื่องคนอื่นเป็นเรื่องของคนอื่นเขา มันเรื่องอะไรของเรา เรื่องคนอื่นทั้งนั้นเลย เรื่องของเราคือใจของเรา ถ้าใจของเรามันทุกข์มันยาก มันทุกข์ยากที่ไหน? อ้าว.. คนอื่นเขามีความสุข เราก็ดีใจไปกับเขานะ เวลาคนอื่นเขาทุกข์เราก็เสียใจไปกับเขานะ แต่ถ้าเวลาเราทุกข์เอง เวลาเราคอตกเองใครจะช่วย? เวลาเราเสียใจนี่ใครจะช่วยที ช่วยที เวลาเราดีใจ คนอื่นเขาดีใจกับเรานะ แต่เวลาเราเสียใจใครจะช่วยเหลือเราได้ เวลาเราพลัดพรากสิ่งที่รักใครจะช่วยเหลือเรา

นี่สิ่งนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนที่นี่ไง ถ้าสอนที่นี่ ถ้าได้ที่นี่แล้วเราชำระกันที่นี่ แล้วถ้าที่นี่มันชำระได้แล้ว เห็นไหม เราอยู่กับโลก อยู่กับความทุกข์ อยู่กับความขัดสน อยู่กับความมั่งมีศรีสุข ไม่ตื่นกับมันเลย ไม่ตื่นกับมันเลย มันจะมั่งมีแค่ไหนมันก็สมมุติโลก เราจะใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหน? เราทุกข์เรายาก ทุกข์ยากก็กรรมมันเป็นอย่างนี้ นี่ชีวิตยังมีอยู่มันจะเป็นอะไรไป

นี่ถ้าเรารักษาใจเราได้แล้วนะ สิ่งที่มันเกิดขึ้นมา.. นี่เราดูนะ ดูแล้วเข้าใจ พอเข้าใจแล้วเรามองคนนะ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“ใครโกรธเรานะ เราโกรธตอบเราโง่กว่าเขา”

เวลาดูคนโกรธสิเขาใส่เรา เห็นไหม หน้าดำหน้าแดงเขาใส่เราเต็มที่เลย เราทนไม่ไหวเราก็โกรธตอบเขาไป แต่เวลาเขาใส่เราน่าเกลียดไหม? แล้วเราใส่กลับไปน่าเกลียดไหม? นี้เราก็มองสิ เวลาสังคมเขากระทบกระเทือนกัน เขาแก่งแย่งกัน เขาชิงดีกัน เขาทำร้ายกัน เรามองแล้วมันสมควรไหม? มันไม่สมควร ไม่สมควรแล้วทำทำไม? เราไปทำอย่างนั้นทำไม?

เรามองไปสิ เรามองไป เรามองได้ถ้ามีสติ แต่ถ้าเป็นเราล่ะ? เราอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้น เราเป็นฝ่ายที่จะต้องไปกระทบกระเทือนเขาเราจะทำอย่างไร? เห็นไหม หลวงตาท่านสอนบอกว่า “ให้ดูใจเรา ดูสิมันกระเพื่อมไหม? สิ่งที่กระทบนี่กระทบหรือยัง? สิ่งนั้นมันเป็นไปได้ไหม?”

ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นไปได้นะ.. นี่สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้าเราสงบระงับแล้วนะ สิ่งต่างๆ ที่มันเป็นจากสภาวะแวดล้อมนี่ไม่มีความหมายเลย ไม่มีความหมายเลย แต่เราต้องอยู่กับมันนะ ถ้าไม่มีความหมายแล้วเราไม่ต้องใช้มันเลยหรือ?

นี่เขาบอกเลย พระกรรมฐานบอกว่าทุกอย่างก็อยู่ที่ใจ ก็นึกว่ากินข้าวแล้ว นึกว่านอนแล้ว นึกว่าพักผ่อนแล้ว นึกว่าเป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นนั่นน่ะ ทุกอย่างอยู่ที่ใจก็นึกเอาๆ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ แต่วัตถุนี่นะ เวลาเราขาดแคลนคนอื่นยังช่วยเหลือเจือจานเราได้ วัตถุสิ่งของเขายังหามาเจือจานเราได้ แต่หัวใจนะหาตัวเองก็ไม่เจอ ไอ้คนสอนก็สอนตามตำราเท่านั้นแหละ สอนตามพระพุทธเจ้าบอก พระพุทธเจ้าสอน แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ? มันจริงหรือเปล่า?

มันเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มันไม่เป็นจริงของคนๆ นั้น ถ้ามันจริงของคนๆ นั้น เพราะคนๆ นั้นยังไม่รู้วิธีการที่กระทำ ถ้าวิธีการที่กระทำนะ คนที่จะทำเขารักษาศีลของเขามาก เพราะศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลมันด่างพร้อย ศีลมันขาดทะลุ เอ็งจะภาวนาอะไรวะ?

ฉะนั้น ถ้าคนที่เขาทำได้นะ เขาจะมั่นคงในศีลของเขา ถ้าศีลของเขามั่นคงขึ้นมา เขาจะมีสมาธิของเขา ถ้าเขามีสมาธิของเขา เขาจะมีปัญญาของเขา แล้วศีล สมาธิ ปัญญา อย่างนี้กับตำรามันแตกต่างกันอย่างไร? กับที่พูดๆ กันอยู่เนี่ย เวลาพูดกันนี่ภาษาโลกไง วุฒิภาวะของโลกเขาเป็นอย่างนั้น

นี่ความว่างไง สุขอื่นใดเท่าจิตสงบไม่มี.. ก็สงบแล้ว ก็ว่างแล้วๆ มันแกล้งให้ว่าง มันทำให้ว่าง มันทำให้ว่างแต่มันไม่ว่าง เพราะจิตมันขวางอยู่ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเป็นจริงหรือเปล่า มันไม่จริง มันขวางอยู่อย่างนั้น มันบอกให้ว่าง ก็เหมือนกันบ้านเรานี่ว่างหมดเลย แต่เราขวางอยู่นั่นน่ะ มันขวางอยู่อย่างนั้นแหละมันไม่ว่างหรอก แต่ถ้ามันว่างจริงๆ ของมันนะ มันว่างอย่างไร? นี่มันว่างอย่างไร?

เรานี่ ดูสิเรานะ เวลาเราทุกข์ยากเรายังมีความรู้สึกเจ็บปวด แต่เราทำจิตให้มันจากโลกเป็นธรรม จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชนทำอย่างไร? ถ้ามันทำของมันนะมันมีของมัน ถ้ามีของมันปั๊บ นี่พฤติกรรมมันบอกหมดแหละ คนภาวนาเป็นไม่เป็น พฤติกรรมมันจะฟ้อง เห็นไหม คนภาวนาเป็นนะจะอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนเพราะอะไรรู้ไหม?

ดูสิเวลาลมพัดมาต้นหญ้ามันลู่ไปตามลม ต้นไม้ใหญ่นี่ถ้าลมแรงหักโค่นนะ อ่อนน้อมถ่อมตนเพราะเราจะไม่ต้องไปขวางอารมณ์ของใครไง เวลาเราไปพูดไปกระเทือนกับใคร เห็นไหม เวลาพูดกับใคร ไปพูดกันคุยกันมันมีแต่โทษทั้งนั้นแหละ ข้อมูลข่าวสารทำให้ฟูหมดแหละ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่อยากยุ่งกับใคร อยู่ด้วยความสงบระงับ อยู่ที่ในวิเวก นี่เพื่ออะไร? เพื่อรักษาใจอันนี้

ศีลกว่าจะรักษาให้บริสุทธิ์ได้นะ โลกบอกทำกันไม่ได้ ทำกันไม่ได้ เดี๋ยวนี้โลกเจริญ รักษาศีลไม่ได้ รักษาศีลไม่ได้ มันก็พูดกันไป แต่คนตั้งใจเขาทำของเขาได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ารักษาศีลของเขาได้ เห็นไหม เขารักษาศีลของเขาได้ก็อยู่กับโลกเขาได้ด้วย นี่เพราะโลกเขามีแต่ศีลในศาสนา แต่ศีลในตัวเขาไม่มี แต่เราจะมีศีลในตัวของเรา มันไม่มีในตำรา มีในเราเลย

เขามีในตำรา เห็นไหม ศาสนาพุทธ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี่วิปัสสนาต่างๆ รู้หมด ในทฤษฏีรู้หมด แต่ศีลในตัวไม่มี ความเข้าใจในตัวก็ไม่มี แต่พอถ้าเรามีของเรา เห็นไหม เรารักษาศีลของเรา ถ้าเราทำสมาธิขึ้นมานี่ศีลมันต้องสะอาดบริสุทธิ์ของมัน ถ้าไม่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่สะอาดบริสุทธิ์เพราะอะไร? ความลับไม่มีในโลก เพราะเราทำของเราเองไง

คนไหนเขาทำคนนั้นก็รู้ เราเป็นคนทำเรามาเอง แล้วก็บอกพุทโธ พุทโธ พุทโธ บอกศีลบริสุทธิ์ๆ บริสุทธิ์ตรงไหน? ก็กูทำมากูรู้ ความลับไม่มีในโลกหรอก ฉะนั้น ถ้าศีลเราไม่บริสุทธิ์มันเป็นนิวรณธรรม มันไปโต้แย้งตรงนี้ไง แต่ถ้าศีลมันบริสุทธิ์นะ นี่ทุกอย่างเราก็พร้อมแล้ว ศีลเราดี สมาธิเราก็ต้องมั่นคงของเรา ถ้าศีลเราดีเราก็มีเอกภาพ มีเอกภาพมันก็พุทโธ พุทโธ มันก็ทำของมันได้ ถ้าเป็นศีลเกิดสมาธิขึ้นมา แล้วเกิดปัญญา ถ้าเกิดปัญญานี่ปัญญาอย่างไร?

นี่ไง เพราะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้นะ ดูสิครูบาอาจารย์ของเรานะ เห็นไหม ในพระไตรปิฎกมีโยมเขาไปทำบุญ นี่ไปถึงเห็นพระวัดนี้เงียบหมดเลย เขาถามว่า

“พระไปไหนหมดล่ะ?”

คนเฝ้าวัดก็บอกว่า “พระเขาภาวนาอยู่”

“แล้วอยากพบท่านต้องทำอย่างไรล่ะ?”

“ให้เคาะระฆังสิ”

พอเคาะระฆังแล้วพระก็ต่างคนต่างเดินมาจากที่พัก เขาภาวนาของเขาอยู่ เขาเห็นนะ โฮ้.. พระไม่พูดกันเนาะ โฮ้.. พระนี่เคร่งขรึมเนาะ ไปฟ้องพระพุทธเจ้านะ ดูสิคนเขาไม่เคยภาวนา ไปฟ้องพระพุทธเจ้าบอกวัดนั้นพระทะเลาะกัน โกรธกันไม่คุยกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “นั่นล่ะสุดยอดพระ เพราะเขาอยู่ในความสงบสงัดของเขา”

พระจะเป็นพระต้องพระอย่างนั้น ต้องใจมันสงบถึงเป็นพระ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในใจของเขา เห็นไหม นี่ความเข้าใจของโลก โลกไม่เข้าใจหรอก ไม่เข้าใจนะ โอ๋ย.. ถ้าพระดีนะต้องคลุกคลีกัน ต้องสามัคคีกัน ต้องเล่นกัน ไอ้นั่นมันเรื่องโลกๆ งานของโลกเขาอย่าไปแย่งเขามาทำ

งานของโลกเขา เห็นไหม โลกเขาต้องมีการประชาสัมพันธ์ มีต่างๆ เขามีอยู่แล้ว หน้าที่ของพระ ถ้าพระเรานี่ผู้ใดอยู่เวร ผู้ใดมีหน้าที่ก็บริหารจัดการนั้นไป ผู้ที่ออกจากเวรแล้วก็ภาวนา เพราะเราบวชมาเพื่อให้เข้าถึงสัจธรรม ถ้าเข้าถึงสัจธรรมได้นะ นี่เวลาคนที่ภาวนาถึงทำความสงบของใจได้ เกิดปัญญาขึ้นมานี่จะกราบไหว้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า.. กราบแล้วกราบเล่าจริงๆ นะ มันซาบซึ้งไง นี่พระพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร?

พระพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ แต่ถ้าคนยังภาวนาไม่ได้นะมันก็พูดนกแก้วนกขุนทอง ปรัชญานี่คุยกันสุดขอบฟ้าเลยล่ะ แม้แต่นิพพานยังมีสุขาวดี สูงกว่านิพพานยังมีอีกนะ ในนิพพานยังมีสูงกว่านิพพานอีก ในนิพพานมียอดนิพพานอีกนะ ในนิพพานยังมีสูงมีต่ำ พูดไปได้! แล้วความจริงเป็นอย่างนั้นไหม? ถ้าคนมันรู้จริงมันเป็นอย่างนั้นไหม? ถ้ามันเป็นจริงของมัน เห็นไหม ถ้าเป็นจริงมันก็ต้องมาจากที่การกระทำ ถ้ามีการกระทำทำอย่างไรล่ะ?

ถ้าทำนี่พฤติกรรมมันฟ้องหมด แล้วความเข้าใจของใจ มันเข้าไปมันบอกได้ ถ้าความบอกได้ เห็นไหม ฉะนั้นสิ่งที่บอกได้ขึ้นมามันเป็นความจริง แล้วมันเสมอภาค ภราดรภาพในหัวใจ อันนี้เป็นความจริง แล้วความจริงอันนี้ ทุกคนนี่อยู่เฉยๆ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่านะ เวลาคนจะทำบุญกุศลกับท่านต้องซื้อทางเข้าไปเลย ต้องขวนขวายเข้าไปหาท่าน แต่นี่มันไปประชาสัมพันธ์กับโลกมันมีอะไร? ว่างๆ ว่างๆ อะไรของเขา อวกาศมันก็ว่าง

นี่ดูสิเขาไปท่องอวกาศกันอยู่มันก็ว่าง มันว่างแล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ? มันไม่มีเจ้าของ ไม่มีผู้รับรู้ ไม่มีสิ่งต่างๆ เลย แล้วเราว่างของเรา เห็นไหม ถ้ามันเชื่อตัวเองได้ สังคมก็เชื่อเราได้ ถ้าสังคมเชื่อเราได้ นี่ดูสิดูน้ำท่วมเพราะอะไร? เพราะคนเขาเคยทำกันไว้ เขาถึงไม่เชื่อถือ ทั้งๆ ที่บอกว่าเขาไม่ได้ทำ เขาไม่ได้ผันน้ำไปทางใดเลย มันไปตามธรรมชาติของมัน เขาไม่เชื่อหรอก เขาไม่เชื่อเพราะตัวเขาเคยรู้เคยเห็น

นี่ไงถ้ามันทุศีล มันไม่เป็นความจริงไปแล้วคนไม่ยอมรับหรอก แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ ความจริงก็คือความจริง ถ้าเป็นความจริงนะเราทำของเรา เห็นไหม นี่ถ้าเราทำของเราแล้วเราบริหารจัดการของเรา ถ้าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่มีอะไรซ่อนเร้นในใจ มันพูดที่ไหนก็พูดได้ พูดที่ไหน ทำที่ไหน จะตรวจสอบอย่างไรเชิญเลย! แล้วทำไมเขาจะไม่เชื่อถือล่ะ? ถ้ามันเชื่อถือนะ มันก็พูดกันเข้าใจได้ใช่ไหม? นี่มันก็ไม่เดือดร้อน เห็นไหม

เราจะบอกว่าน้ำท่วม ทุกอย่างนี่ทุกข์ไหม? ทุกข์ แต่เวลามันทุกข์ใจ ทุกข์ใจว่าเรานี่ทุกข์ยาก แล้วทำไมคนอื่นไม่ทุกข์ยากแบบเรา กายก็ทุกข์ยาก ความเป็นอยู่ก็ทุกข์ยาก หัวใจก็หวั่นไหว หัวใจนะพึ่งใครไม่ได้เลย ไว้ใจใครไม่ได้เลย ต้องช่วยกันเอง ช่วยเหลือตัวเอง นี่มันเกิดจากเพราะอะไรล่ะ? เกิดจากพฤติกรรมที่ทำๆ กันมาไง ทำจนเขาไม่เชื่อถือ พอเขาไม่เชื่อถือขึ้นมา แล้วจะไปบอกให้เขาฟัง ให้เขาเชื่อถือ เขาเชื่อถือไหม? เขาไม่เชื่อถือ นี่ไง

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ อำนาจโดยธรรมมันถูกต้องดีงาม ถ้าอำนาจโดยธรรมถูกต้องดีงาม อย่างไรเขาก็เชื่อถือ มันทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน สุขก็สุขด้วยกัน มีอย่างไรก็มีด้วยกัน เรามีด้วยกัน เราจนด้วยกัน เรากินด้วยกัน เราอยู่ด้วยกัน นี่ถ้าความเสมอภาคมันมีแล้วมันไว้ใจกันได้ เวลาครูบาอาจารย์ของเรานี่ตายแทนกันได้ หลวงตาท่านพูดบ่อยนะ ท่านบอกว่า

“ถ้าท่านสละชีวิตของท่าน เพื่อให้หลวงปู่มั่นมีชีวิตต่อไป ท่านเสียสละทันที”

ท่านพูดบ่อย ว่าถ้าท่านเสียสละชีวิตของท่านได้ เพื่อให้ชีวิตของหลวงปู่มั่นยังดำรงธาตุขันธ์ต่อไป ท่านยอมเสียสละชีวิตทันที แต่นี้มันทำไม่ได้ มันทำไม่ได้ เห็นไหม ฉะนั้น หลวงปู่มั่นท่านหมดอายุขัยของท่าน ท่านก็นิพพานของท่านไป หลวงตาท่านหมดอายุขัยก็นิพพานของท่านไป เวลาหลวงตาท่านพูดอย่างนี้ทุกคนก็จะทำตามๆ ไม่ได้หรอก ความจริงใจ ความรู้ภายในมันไม่เหมือนกัน ถ้าความจริงใจมันเหมือนกันนะท่านรับรู้ได้ ท่านรู้ของท่านได้ ท่านรับรู้ของท่านได้ เห็นไหม

นี่ความลงใจ แม้แต่เสียสละชีวิตเพื่อให้ครูบาอาจารย์มีชีวิตอยู่ เรายังเสียสละกันได้เลย เพราะหัวใจมันยอมรับ มันลงเต็มที่ไง ฉะนั้น ถ้าโลกมันได้อย่างนี้นะเราจะมีความสุขมาก ถึงมันจะทุกข์ขนาดไหน เราก็กัดฟันทนกันได้ เพราะมันเป็นวิบาก มันเป็นคราวของมัน มันเป็นกรรมของมัน เห็นไหม น้ำท่วมใหญ่ น้ำท่วมใหญ่มันก็มีของมัน แต่! แต่มีแล้วให้มันเสมอภาคสิ มีแล้วอย่าเอารัดเอาเปรียบกันสิ ถ้าเอารัดเอาเปรียบกันมันทุกข์มันยาก ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ หวั่นไหวกันไปหมดเลย

นั้นดูโลก เห็นไหม แล้วก็ดูธรรม ดูสังคมแล้วย้อนมาดูตัวเรา เราเอาตัวเรารอดให้ได้ เราตั้งใจเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเตือนสติ เตือนความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดนั่นแหละกิเลสมันอนุสัย แบบว่าเกิดจากความดำริ เกิดจากความคิด ความคิดมันมา นั่นแหละมันมีมา เราตั้งสติแล้วแก้ไขของเรา เพื่อประโยชน์กับเราเนาะ เอวัง